1.ผมได้ยินศาสนาจารย์หลายท่านกล่าวว่า
"สิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตคริสเตียนของท่านคือการได้อยู่ในการทรงสถิตของพระเจ้า"
ทำไมท่านเหล่านั้นแสวงหาการทรงสถิตของพระเจ้า ในเมื่อสอนพวกเราว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่ในเราตั้งแต่นาทีแรกที่เรารับเชื่อแล้ว ผู้ที่สงสัยคงต้องไปถามท่านเอง แต่ที่จะเขียนนี้เป็นความเข้าใจของผม
สิ่งที่ผมคิดว่าเราควรทำความเข้าใจเสียก่อนก็คือเรื่องของการทรงสถิตและเรื่องของการสัมผัสกับพระวิญญาณ ทั้งสองเรื่องนี้เรามักพูดรวมกัน แต่จริงๆแล้วเป็นสิ่งที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
เมื่อผมเริ่มสอนพี่น้องที่เฉวงบุรี รีสอร์ท เวลาเขานมัสการแล้วรู้สึกซู่ซ่า และสัมผัสได้หลายอย่าง แต่ผมกลับไม่รู้สึกอะไรเลย แรกๆก็น้อยใจว่าเราสัมผัสพระเจ้าไม่ได้เหมือนน้องๆที่เราสอน แต่ภายหลังจึงเรียนรู้ถึงความแตกต่างของการทรงสถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์และการสัมผัสของพระวิญญาณบริสุทธิ์
การทรงสถิตของพระเจ้า หมายถึงการที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ ทรงสถิตอยู่ภายในเรา และทรงกระทำกิจของพระองค์ในชีวิตของเรา เราสามารถเห็นพระราชกิจนั้นได้ทาง “ผลของพระวิญญาณ” (กาลาเทีย 5:22, เอเฟซัส 5:9) และการที่ชีวิตของเราได้รับการเปลี่ยนแปลงให้เป็นคนใหม่ - เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์
ส่วนการสัมผัสกับพระวิญญาณนั้นเป็นเหตุการณ์สั้นๆ ที่ส่วนใหญ่เกิดตอนนมัสการพระเจ้า เมื่อพระวิญญาณทรงเสด็จลงมาในท่ามกลางเราและเราบางคนสัมผัสพระองค์ บางคนเมื่อสัมผัสพระวิญญาณแล้วอาจมีการกระทำบางอย่างหรือประสบการณ์บางอย่าง เช่น พูดภาษาแปลก เผยพระวจนะ พยากรณ์ เห็นนิมิต หรือมีอาการทางร่างกาย เช่น ร้องไห้ ขนลุก รู้สึกซู่ซ่าทั่วร่างกาย รู้สึกถูกกระแทกด้วยแรงมหาศาลเหมือนยืนอยู่ใต้น้ำตก หรือคล้ายกับถูกไฟช๊อต ฯลฯ อาการเหล่านี้เป็นอาการของการสัมผัสกับพระวิญญาณบริสุทธิ์
พูดถึงตรงนี้คุณคงนึกออกแล้วว่า การสัมผัสกับพระวิญญาณเป็นเรื่องชั่วคราว เกิดขึ้นไม่นานก็หายไป เป็นเพียงประสบการณ์พิเศษ แต่แน่นอนที่ว่า ทำให้เรารู้สึกดี รู้สึกอิ่มเอม เต็มไปด้วยความชื่นชมยินดี แต่การทรงสถิตเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในระยะยาวกว่า และนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงชีวิต
ถ้าเช่นนั้นแล้ว อะไรสำคัญกว่า? หรือเราควรแสวงหาอะไร?
คุณคงต้องคิดเอาเองว่าคุณอยากได้อะไร แต่ส่วนตัวผมนั้น ผมอยากได้การทรงสถิตของพระเจ้ามากกว่า ผมอยากให้พระองค์อยู่กับผมนานๆ แล้วทำการปฏิวัติชีวิตของผม
เพราะการสัมผัสเป็นเรื่องชั่วคราว แต่การทรงสถิตหมายถึงการที่พระวิญญาณสถิตกับเราตลอด 24 ชั่วโมง ส่วนจะทำได้นานแค่ไหน ก็เป็นเรื่องของแต่ละคน......
2. ผมเชื่อว่า การทรงสถิตของพระวิญญาณ สำคัญกว่าการสัมผัสกับพระวิญญาณ
เพราะการทรงสถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์คือหัวใจของแผ่นดินของพระเจ้าที่มาตั้งอยู่บนโลกนี้
ผมมักจะบอกสมาชิกที่มาร่วมประชุมว่า แผ่นดินของพระเจ้าจะมาตั้งอยู่บนโลกได้ก็โดยการที่ชีวิตของผู้เชื่อถูกขับเคลื่อนโดยพระวิญญาณ
แต่จะทำอย่างไรให้เราถูกขับเคลื่อนโดยพระวิญญาณล่ะ?
คำตอบคือ เราต้องมีการทรงสถิตของพระเจ้าก่อน
แล้วจะมีการทรงสถิตของพระเจ้าได้อย่างไรล่ะ?
คำตอบมี 2 ขั้นตอนครับ
ขั้นตอนแรก เอากิเลสตัณหาและเนื้อหนังของเราตรึงไว้ที่กางเขน
ขั้นตอนที่สอง อัญเชิญพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาสถิตภายในเราอีกครั้ง (เราอาจเคยเชิญพระองค์เข้ามาแล้ว ตอนรับเชื่อใหม่ๆหรือตอนไหนๆก็ตาม แต่ถ้าขั้นแรก ไม่ได้ทำจริงจัง ขั้นที่สองก็เกิดขึ้นไม่ได้)
เราจะต้องเชื่อวางใจในพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้าที่ถูกตรึงบนไม้กางเขนเพื่อไถ่บาปเรา เราจึงจะขอเอาเนื้อหนังกิเลสตัณหาตรึงไว้ที่กางเขนได้ เมื่อเราเอา “ตัวตน” ของเราออกไป เราก็จะมีที่พอสำหรับพระวิญญาณบริสุทธิ์
แม้สมาชิกของเราส่วนใหญ่เคยรับพระวิญญาณบริสุทธิ์มาแล้ว เคยพูดภาษาแปลกๆ และมีประสบการณ์แบบต่างๆกับพระวิญญาณมาพอสมควรแล้วก็ตาม แต่ผมก็แนะนำให้ทุกคน “ขอ” พระวิญญาณบริสุทธิ์ใหม่ และยอมที่จะพูดภาษาแปลก ตามแต่พระวิญญาณทรงนำ เมื่อเขายอมต่อพระองค์ แต่ละคนก็เกิดประสบการณ์กับพระวิญญาณไปในลักษณะต่างๆ นานา บ้างก็รู้สึกโล่งเบาเมื่อเอาเนื้อหนังไปตรึงไว้ที่กางเขน บางคนก็พูดภาษาแปลกๆ โดยเป็นภาษาแปลกๆ ที่ใหม่และต่างไปจากเดิม บางคนสัมผัสพระวิญญาณในแบบ “ รู้ ” ถึงการเสด็จมาของพระวิญญาณและการทรงดำเนินอยู่ท่ามกลางที่ประชุม
สองขั้นตอนนี้ผมว่าสำคัญมาก คุณลองทบทวนและลองทำดูสิครับ ติดขัดหรือสงสัยอะไร ก็เขียนความเห็นมานะครับ
3. การพูดครั้งแรกที่เยอรมนี
เรื่องการทรงสถิตนี้พระเจ้าทรงนำให้ผมแบ่งปันในวันสุดท้ายที่ไปเยี่ยมคริสตจักรไทยที่เยอรมนี ครั้งแรกผมปฏิเสธ ทูลพระองค์ว่าผมไม่ชำนาญและขาดประสบการณ์ แต่พระเจ้าก็ทรงชี้ให้เห็นว่า 7 วันที่ผ่านมาพระองค์ทรงอยู่กับผมตลอดเวลาไม่ใช่หรือ? ในที่สุดผมก็ยอมจำนน
ผมขอเล่าถึงประสบการณ์การทรงสถิตของพระเจ้าครั้งแรกของผม เรื่องมีอยู่ว่า
เมื่อปี 2013 ผมและภรรยาไปเยี่ยมพี่น้องคริสเตียนไทยที่เมืองแฟรงก์เฟิร์ต ประเทศเยอรมนี ตอนที่เครื่องบินจะลงแตะรันเวย์สนามบินแฟรงก์เฟิร์ต ผมรู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างเข้ามาในตัว เหมือนสัมผัสอะไรบางอย่าง สักพักก็รู้ว่านี่เป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์ อีก 4-5 ชั่วโมงต่อมาภรรยาก็ถามว่าผมเป็นอะไรไปหรือเปล่า? ดูแปลกๆ ไป ดูสงบ นิ่ง แปลกไปจากคนเดิมที่หงุดหงิด ตึงเครียด ก่อนจะบินมาเยอรมนีเราแวะที่ฝรั่งเศส ช่วงที่เดินทางอยู่ที่ฝรั่งเศส ผมยังกระวนกระวายคอยดูชื่อถนน หรือชื่อตรอกซอกซอย ทั้งกลัวหลง กลัวถูกจี้ ผมระมัดระวังมากทีเดียว แต่มาตอนนี้กลับดูมั่นใจ ดูสงบเยือกเย็น ตัวผมรู้ว่ามีการทรงสถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่จะนานแค่ไหนกันนะ? วันหนึ่งผ่านไป สองวันผ่านไป การทรงสถิตก็ยังคงอยู่จนผมแปลกใจมาก ผมพูดแบ่งปันให้พี่น้องคนไทยที่เยอรมนีฟังเกือบทุกวัน ทุกครั้งที่พูดพี่น้องจะน้ำตาซึมกัน ในวันสุดท้ายที่แบ่งปัน พี่น้องคนไทยจึงพากันเตรียมผ้าเช็ดหน้าเอาไว้เช็ดน้ำตาและเตรียมโทรศัพท์มือถือที่จะบันทึกภาพ (ยกเว้นก็แต่คนเยอรมัน) ในการแบ่งปันวันสุดท้ายพระเจ้าทรงให้ผมพูดถึงการทรงสถิตของพระเจ้า ว่าเราจะรักษาให้ยาวนานขึ้นได้อย่างไร?
การทรงสถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ทำให้ท่านซู่ซ่า แต่เป็นความสงบ สันติ บางคนบรรยายว่าเหมือนอยู่บนสวรรค์ นั่นเพราะสิ่งภายนอกมากระทบเราได้น้อยมาก เรามีความมั่นใจในพระเจ้า ไม่มีความกังวล ไม่กระวนกระวาย ไม่ทุกข์ร้อนในปัญหาแม้กำลังมีคนด่าว่าเราก็ตาม เรามีสติปัญญา มีความรัก มีผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ (แต่ละคนอาจมีประสบการณ์ปลีกย่อยแตกต่างกันไปบ้าง แต่ผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเหมือนกัน) เราเคยสัมผัสสภาวะอย่างนี้ไม่มากก็น้อย แต่ปัญหาคือจะยืดสภาวะนี้ให้นานขึ้นได้อย่างไร?
4. เคล็ดลับอยู่ใน ฟิลิปปี 4:4 ครับ
“จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าทุกเวลา ข้าพเจ้าขอย้ำอีกครั้งว่า จงชื่นชมยินดีเถิด”
หลายคนมุ่งมั่นที่จะรับใช้พระเจ้า โดยเฉพาะการประกาศและเลี้ยงดูลูกแกะ จนส่งผลกระทบต่อตนเองทำให้ตัวเองหงุดหงิด อารมณ์เสีย บ้างก็ขาดแคลนทุนทรัพย์ เพราะทำงานน้อยลง แต่รับใช้มากขึ้น เมื่อผมได้ยินเรื่องดังกล่าว ผมก็จะบอกเขาว่า ให้พักการรับใช้ไว้ก่อน แล้วรักษาใจให้ดี การรับใช้ด้วยใจขมขื่นนั้นไม่มีประโยชน์แต่ประการใด เพราะพระวิญญาณของพระเจ้าไม่อยู่กับเรา มันเป็นการรับใช้ด้วยเนื้อหนังไปเสียแล้ว และนั่นไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าต้องการ การรับใช้พระเจ้าด้วยเนื้อหนังก็เหมือนคนตาบอดนำคนตาบอด ผมหนุนใจว่า อย่าไปห่วงเรื่องงานของพระเจ้าให้มากนัก ให้ห่วงตัวเองก่อน มาเริ่มต้นแสวงหาการทรงสถิต ให้พระวิญญาณของพระเจ้าสถิตกับเราจริงๆ และเราจะรับใช้พระเจ้าด้วยความชื่นชมยินดี มีการทรงนำของพระเจ้าจริงๆ การรับใช้แบบใหม่นี้จะเกิดขึ้นจากความรักภายใน ไม่ใช่เป็นเพียงหน้าที่เท่านั้น หากทำแบบนี้ไม่ได้ก็ให้พักเสีย กลับไปดูแลตนเองให้ดีก่อนหรือทำแต่พอประมาณ (ส่วนใหญ่ที่แนะนำไปคือให้รับใช้พอประมาณ)
ความเชื่อที่ไม่มีหลัก
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า หากท่านเชื่อว่าพระวิญญาณสถิตกับท่านในชั่วโมงแรกที่รับเชื่อ และท่านรอดแล้ว ไม่ต้องทำอะไรอีก แค่รอไปสวรรค์ตอนตาย หากท่านคิดแบบนี้ผมก็ขอบอกว่า บทความของผมไม่มีประโยชน์กับท่าน และหากท่านเชื่อว่าท่านรอดโดยความเชื่อเท่านั้น ผมก็อยากจะตั้งข้อสังเกตว่า ถ้าอย่างนั้นทำไมท่านต้องไปโบสถ์ ถวายเงินสิบลด ไปเรียนพระคัมภีร์ หรือทำสิ่งต่างๆให้วุ่นวายล่ะ?
หากท่านมีความเชื่อแบบนี้ การทรงสถิตของพระวิญญาณก็คงไม่มีประโยชน์อะไรแก่ท่าน แต่ผมเชื่อว่า ความเชื่อเป็นเบื้องต้นของความรอด แต่หลังจากนั้นชีวิตของเราต้องเติบโตขึ้น เพื่อถึงความไพบูลย์ของพระคริสต์ และความไพบูลย์นี้ก็คือ มีการทรงสถิตของพระเจ้านั่นเอง
ท่านจะแสวงหาการทรงสถิตของพระเจ้าหรือไม่? มันอยู่ที่ตัวท่านครับ การตัดสินใจเป็นของท่านและท่านต้องรับผิดชอบชีวิตของท่านเอง
แต่ท่านสามารถทูลขอความกระจ่างในเรื่องราวเหล่านี้จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้อยู่แล้ว ผมเพียงเล่าความเห็นและประสบการณ์ส่วนตัว เพราะอยากจะเชิญชวนให้ท่านคิดและแสวงหาความจริงเท่านั้น ผมเชื่อว่า หากท่านเข้าใจสิ่งนี้ รับเอาการทรงสถิตของพระเจ้า และรักษาการทรงสถิตนี้เอาไว้ ชีวิตของท่านจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างแน่นอน
******
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น